อาการปวดหลังปวดเอว มักก่อให้เกิดความรำคาญและทรมานต่อร่างกาย บางคนไม่สามารถทำงานหรือใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข อาการที่พบบ่อยและที่เป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยเกิดความเจ็บปวดคือโรคโพรงประสาทส่วนเอวตีบแคบ (Lumbar spinal stenosis)
โรคโพรงประสาทส่วนเอวตีบแคบ คือภาวะที่มีการตีบแคบลงของโพรงที่เป็นช่องว่างตลอดความยาวภายในกระดูกสันหลัง ที่เรียกกันว่าโพรงกระดูกสันหลังหรือโพรงประสาท (Spinal canal) ซึ่งเป็นช่องทางผ่านของเส้นประสาทไขสันหลัง (spinal cord) การตีบแคบอาจเกิดเพียงระดับเดียวหรือหลายระดับของโพรงกระดูกสันหลังก็ได้ ซึ่งช่องโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ อาจเกิดจากภาวะกระดูกหนาตัวขึ้น, เอ็นหนาตัวขึ้น, หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน (ปวดหลังจากโรคหมอนรองกระดูกสันหลัง), กระดูกสันหลังเคลื่อน (Spondylolisthesis), มีอาการขาชา หรือมีภาวะต่างๆ ดังกล่าวเกิดขึ้นร่วมกัน
โพรงประสาทตีบเเคบ สาเหตุ ที่พบได้บ่อย คือ
1.ความผิดปกติแต่กำเนิดของโพรงกระดูกสันหลัง
2.การเสื่อมตามอายุ
3.โรคกระดูกพรุน
4.โรคกระดูกสันหลังเสื่อม
อาการของโรคโพรงประสาทตีบแคบ
โรคโพรงประสาทส่วนเอวตีบแคบมักทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดหลังโดยอาจพบร่วมกับ อาการปวดร้าวลงขาข้างเดียวหรือสองข้าง เดินแล้วมีกล้ามเนื้อขาอ่อนแรงหรือปวดขา อาการขาชา ปวดน่องจนต้องหยุดเดินเป็นพักๆ ซึ่งเกิดจากเส้นประสาทเอวถูกกดทับ หรือภาวะขาดเลือดของเส้นประสาท และพบบ่อยว่าทำให้เกิดอาการเดินลำบาก ส่งผลถึงการดำรงชีวิตประจำวันได้
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
ผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังล่างร้าวลงขาจนส่งผลกระทบต่อการเดิน หรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เดินนานไม่ได้ หยุดเดินบ่อยๆ หรือเดินได้ระยะทางสั้นลง หรือมีกล้ามเนื้อขาลีบ ขาชา และมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย
นอกจากนี้ ถ้ามีอาการปวดบริเวณด้านหลังขาร่วมกับมีอาการไข้ หรือน้ำหนักลดมาก เบื่ออาหาร ปวดมากขณะนอนพัก หรือปวดช่วงกลางคืนอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นอาการบ่งชี้ว่าอาจมีปัญหาที่มาจากการติดเชื้อหรือจากโรคมะเร็งของกระดูกสันหลัง ผู้ป่วยจึงควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังโดยด่วน
ใครบ้างมีโอกาสเป็นโรคนี้
- คนที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
- คนอ้วน
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
- ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
การตรวจวินิจฉัยอาการปวดร้าวลงขา
แพทย์จะวินิจฉัยโรคโพรงประสาทส่วนเอวตีบแคบ โดยการตรวจร่างกายและทำการตรวจ x-ray เพื่อประเมินโครงสร้างว่ามีความผิดปกติที่กระดูกสันหลังจริงหรือไม่ และตรวจด้วยเครื่อง MRI เพื่อประเมินความผิดปกติของหมอนรองกระดูกสันหลัง ช่องไขสันหลัง และเส้นประสาทว่ามีการถูกกดทับหรือไม่
การรักษา
วิธีการรักษาโรคโพรงกระดูกสันหลังเอวตีบแคบ ประกอบด้วย การใช้ยา การทำกายภาพบำบัด และการผ่าตัด
การรักษาด้วยยา
- ยาต้านการอักเสบ : เพื่อลดอาการปวดที่เล็กน้อยและปานกลาง ซึ่งผลข้างเคียงของยา เช่น ปวดท้อง แผลในกระเพาะอาหาร ปัญหาทางตับ และไต
- ยาแก้ปวด : ใช้เพื่อลดอาการปวด เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol)
- ยาคลายกล้ามเนื้อ : ใช้เพื่อลดการหดเกร็งตึงตัวของกล้ามเนื้อ อาการปวดที่เกิดจากการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อก็จะลดลงได้
- ใช้ยาหลายๆ ชนิดร่วมกัน : เพื่อลดอาการปวดและลดการอักเสบ เช่น ยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) ร่วมกับยาคลายกล้ามเนื้อ
- ยาต้านอาการซึมเศร้าบางชนิด (ที่ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาท) : เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับ
- ยากันชักบางชนิด (ที่ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาท) : เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับ
การทำกายภาพบำบัด
เพื่อรักษาอาการปวด เช่น การกระตุ้นเส้นประสาทด้วยการใช้เครื่อง Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation (TENS) การนวด การใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ การฝังเข็ม (Acupuncture) การดึงขยายข้อต่อกระดูกสันหลัง (Traction) และการฝึกกล้ามเนื้อหลังและขาให้มีความแข็งแรง เพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดี
การผ่าตัด
เมื่อการใช้ยาและการทำกายภาพบำบัดไม่ได้ผล หรืออาการที่เกิดขึ้นส่งผลรบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวันและเสียการควบคุมระบบขับถ่าย โดยจุดประสงค์ของการผ่าตัดเพื่อลดการกดทับต่อเส้นประสาทและไขสันหลัง แนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับอาการและการวินิจฉัยของแพทย์ ด้วยเทคนิคพิเศษเฉพาะทางของโรงพยาบาลเอส สไปน์ คือการส่องกล้องรักษาโรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบด้วยเทคนิค PSLD (Percutaneous Stenoscopic Lumbar Decompression) แพทย์จะสอดกล้องเอ็นโดสโคป (Endoscopic) ผ่านการเปิดแผลขนาด 0.5 ซม. เข้าไปยังเส้นประสาทส่วนที่ถูกกดทับอยู่โดยตรง โดยไม่ต้องตัดเลาะกล้ามเนื้อส่วนที่ดีออก กล้องเอ็นโดสโคปจะช่วยให้แพทย์มองเห็นเส้นประสาทได้อย่างชัดเจน สามารถเลือกตัดเฉพาะส่วนที่มีการกดทับเส้นประสาทออกได้ ไม่ว่าจะเป็นการกดทับจากหมอนรองกระดูกปลิ้นหรือจากการบีบรัดจากกระดูกข้อต่อและเส้นเอ็นก็ตาม ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที จากนั้นผู้ป่วยสามารถลุกเดินได้ทันทีภายหลังการผ่าตัด
ข้อดีของการรักษาด้วยวิธีนี้
- แผลผ่าตัดขนาดเล็กมากเพียง 0.5 เซนติเมตร
- สูญเสียเลือดน้อย
- ฟื้นตัวเร็ว หลังจากผ่าตัดสามารถลุกขึ้นได้
- ความปลอดภัยสูง
- ความเสี่ยงในการติดเชื้อต่ำ
- นอนโรงพยาบาลเพียง 1 คืนก็กลับบ้านได้
- ค่าใช้จ่ายน้อยลงเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยแบบเดิม
- ลดการทำลายเนื้อเยื่อส่วนดีที่อยู่รอบบริเวณผ่าตัด
- หลังเข้ารับการรักษาสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
การดูแลตนเองและการป้องกัน
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงว่าจะเป็นโรคนี้สามารถดูแลและป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคนี้ได้ดังนี้
- ควบคุมน้ำหนักเพื่อลดการรับน้ำหนักของกระดูกสันหลัง
- ห้ามยกของหนัก
- หลีกเลี่ยงการก้มๆ เงยๆ และการนั่งทำงานในท่าหนึ่งท่าใดนานเกิน 2 ชั่วโมง
- ปรับพฤติกรรมการใช้หลังให้ถูกวิธี
- ทำกายภาพบำบัดต่อเนื่อง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก
หากท่านใดที่กำลังมีอาการปวดหลัง หรือเป็นโรคที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลังและยังไม่ได้เข้ารับการรักษา สามารถปรึกษาเราเพื่อประเมินแนวทางการรักษา เพื่อการหายอย่างยั่งยืน ทางโรงพยาบาลมีเทคนิคและเครื่องมือการรักษาที่ทันสมัยครบวงจร